วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

ตอนที่ 7 สื่อโฆษณา (สิ่งที่วัยรุ่นให้ความสนใจ-วิตามินลดสัดส่วน)

ตอนที่ 7 สื่อโฆษณาในปัจจุบันที่วัยรุ่นให้ความสนใจ (วิตามินลดสัดส่วน)


ส่วนผสมในวิตามินลดสัดส่วน
วิตามินลดสัดส่วนที่ไม่มีส่วนผสมของสมุนไพร  (ยาเคมี)




วิตามินลดสัดส่วนที่มีส่วนผสมของสมุนไพรปนอยู่ด้วย (ยาสมุนไพร)




วิธีกินวิตามินลดสัดส่วน
วิธีรับประทาน (ทานกับน้ำอุ่น/น้ำไม่แช่เย็น จะเห็นผลเร็ว)
- แบบที่ 1 ครั้งละ 1 เม็ด ก่อนอาหารเช้าหรืออาหารมื้อเเรกของวันอย่างน้อย 15-30 นาที
(สำหรับผู้ที่มี นน.ตัวเกิน 60 กิโลกรัมขึ้นไปเเนะนำให้ทาน 2 เม็ด)
- แบบที่ 2 ก่อนอาหารเช้า-เย็นครั้งละ 1 เม็ด อย่างน้อย 15-30 นาที คนละสีได้






คำแนะนำวิตามินลดสัดส่วน


แนะนำให้ออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย ขาจะเล็กลงหุ่นจะได้ Fit & Firm เห็นผลได้เร็วยิ่งขึ้น ที่สำคัญดื่มน้ำมากๆ และห้ามอดอาหาร


ข้อห้ามวิตามินลดสัดส่วน

สิ่งต้องห้ามเมื่อทานวิตามินลดสัดส่วน
- งดรับประทานตระกูลแตงทั้งหลาย ฟัก หัวไชเท้า แคนตาลูป แตงโม
- งดบุหรี่
- งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
- ห้ามทานเกินวันละ 2 เม็ด
- ห้ามทานกับน้ำเย็น


ลำดับพัฒนาการของวิตามินลดสัดส่วน

ลำดับพัฒนาการ
- เพลียบ้างอะไรบ้างเพราะมันเบิร์นไขมัน (ให้ทานน้ำเยอะๆค่ะ)
- ระหว่างวันไม่ค่อยหิว
- หน้าท้องเริ่มยุบ
- 1 อาทิตย์น้ำหนักลงอย่างชัดเจน 2-5 โล (ลงมากน้อยขึ้นอยู่กับระบบการเผาผลาญของร่างกายเเต่ละบุคคลค่ะ)
- อาทิตยที่ 2 สัดส่วนต่างๆตามร่างกาย ต้นขา-ต้นแขน เล็กลงเฟิร์มมากขึ้น
- ทานต่อเนื่องเพื่อร่างกายที่กระชับได้สัดส่วน เเละนน.คงที่ได้จนเป็นที่พอใจค่ะ

การทำงานของยา
- ซึ่งในตัวยาของวิตามินลดสัดส่วนจะไม่มีส่วนผสมของยาลดน้ำหนัก แต่จะเป็นลักษณะการทำงานคล้ายแอลคาร์เนทิน คือ ของแท้จะทานแล้วไม่รู้สึกอะไรเลยค่ะ คือกินแล้วต้องรู้สึกเฉย ๆ และทำให้ผอมลง



ตอนที่่ 6 สื่อโฆษณา (สิ่งที่วัยรุ่นให้ความสนใจ-วิตามินลดสัดส่วน)

ตอนที่่ 6 สื่อโฆษณาในปัจจุบันที่วัยรุ่นให้ความสนใจ (วิตามินลดสัดส่วน)


เหตุผลที่เลือกหัวข้อการทำงานนำเสนอในครั้งนี้
1.สามารถเจาะกลุ่มเป้าหมายของผู้บริโภคได้หลากหลาย และ เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้ง่าย
2.สื่อที่นำมาเสนอมีการเผยแพร่ที่น่าสนใจอย่างมากมายในปัจจุบัน
3.สื่อออนไลน์ประเภทนี้ได้รับความนิยมกับบุคคลที่เป็นเป้าหมายของผลิตภัณฑ์ของผู้ลงทุน


เพราะอะไร?? ที่     สนใจในวิตามินประเภทนี้
เชื่อว่าใครหลายคนที่เล่นเฟซบุ๊กหรือโซเชียลมีเดียอื่น คงเคยเหลือบเห็นโฆษณาต่างๆ ที่อ่านแล้วไม่อยากจะเชื่อนักว่าทำได้จริงกับ "วิตามินลดสัดส่วน" ที่บรรจุอยู่ในแคปซูลสีสันสดใสหลากสี เลือกสีกันตามสัดส่วนที่ต้องการลด ไม่ว่าจะเป็นแขน ขา พุง หน้าท้อง และยังรับประกันด้วยว่าปลอดภัย นำเข้าจากต่างประเทศ ในราคาแสนถูกเพียงเม็ดละไม่เกิน 10 บาท นอกจากนั้นยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ อย่าง "หัวเชื้อกลูต้า" และ"ฮอร์โมนเสริมอึ๋ม" ให้เลือกซื้อเลือกหากันง่ายๆ ภายในคลิกเดียว
        ถึงแม้จะมีภาพรีวิวก่อนกิน-หลังกิน มายืนยัน มีข้อความยืนยันว่าผอมจริง คอนเฟิร์ม แต่เราจะเชื่อได้อย่างไรว่าสิ่งที่ถูกบรรจุลงไปในแคปซูลเหล่านั้น จะปลอดภัยต่อร่างกายเราจริงๆ ถึงแม้แม่ค้าจะระบุว่ามีอย. แต่ก็เป็นเพียงคำพูดลอยลม จะเชื่อได้อย่างไร ทั้งนี้ อีกจุดหนึ่งที่พึงสังเกตคือการใช้คำว่า “วิตามิน” แทนที่คำว่า “ยา”
ที่มาของวิตามินลดสัดส่วน
วิตามินลดสัดส่วนมี 2 ประเภท 
1.วิตามินลดสัดส่วนที่ไม่มีส่วนผสมของสมุนไพร (ยาสมุนไพร)
          วิตามินตัวนี้เป็นของบริษัท Abbot ประเทศสหรัฐอเมริกานะคะ โดยตัวยาผ่าน GMP อเมริกาแล้วค่ะ รับรองว่าปลอดภัย หยุดทานเเล้วไม่มี YO YO effect เเน่นอนค่ะ และสามารถทานได้นานเป็นปีอย่างปลอดภัย หรือทานจนกว่าจะพอใจในรูปร่างของตัวเองได้ค่ะ Made in U.S.A ของเเท้ 100%
วิตามินตัวนี้ไม่มีอย.ไทย แต่ผ่านมาตรฐาน GMP ของสหรัฐอเมริกา และยุโรป ซึ่งเป็นของบริษัท Abbott จากประเทศสหรัฐอเมริกา โดยตัวที่นำมาจำหน่ายนี้เป็นตัวที่นำเข้ามาบรรจุแคปซูลภายในประเทศไทย ซึ่งราคาถูกกันกว่าครึ่งนึงเลยทีเดียว โดยมีผู้ใช้มากกว่า 15 ล้านคนทั่วโลกวิตามินตัวนี้ไม่ใช่ยาลดความอ้วน เพราะฉะนั้นระหว่างที่ทานจะไม่มีอาการหน้ามืด ใจสั่น เบื่ออาหาร ไม่มีแรง และไม่กดประสาทอย่างแน่นอน จึงมั่นใจได้ว่าไม่โยโย่ 100%
           ผลข้างเคียงของยาที่เข้าไปหยุดการดูดซับของไขมัน ทำให้เกิดอาการท้องเสีย ขาดสารอาหารที่ละลายอยู่ในไขมัน ไม่ว่าจะเป็นไขมันดีและไม่ดี
           กลุ่มยาที่เป็นสมุนไพร อาทิ มะขามแขก ส้มแขก ฯลฯ จะอยู่ที่ดุลยพินิจของแพทย์ว่าสั่งจ่ายยาชนิดใด เพื่อให้เหมาะสมกับสาเหตุของคนไข้ ซึ่งสมุนไพรจะช่วยรักษาได้ดีและปลอดภัย

2.วิตามินลดสัดส่วนที่มีส่วนผสมของสมุนไพรปนอยู่ด้วย (ยาเคมี)
        วิตามินลดสัดส่วน สกัดจากสมุนไพร ไม่มีสารอันตราย
ผลิตได้มาตราฐานจาก USA รีวิวเพียบ !
ของแท้มีโลโก้ GMP ติดเม็ด กันปลอม !
มีให้เลือกมากมาย ใครเลือกไม่ถูกปรึกษาแม้ค้าก่อนจ้า สูตรลับเฉพาะคลีนิคดัง สั่งผลิตโดยเฉพาะ
เห็นผลใน 3-14 วัน


        




ตอนที่ 5 สื่อโฆษณา (สิ่งที่วัยรุ่นให้ความสนใจ)


ตอนที่  5 มารู้จักประเภทของสื่่อโฆษณา 

หนังสือพิมพ์ Newspaper 
หนังสือพิมพ์เป็นสื่อที่มีความสำคัญ ได้รับความสนใจและมีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของผู้บริโภคอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในชีวิตประจำวันของคนเมืองที่มีความเจริญแล้ว ยิ่งจะได้รับความสนใจในการอ่านกันอย่างแพร่หลายการเลือกใช้สื่อโฆษณาทางหนังสือพิมพ์เพื่อนำข่าวสารโฆษณาไปสู่กลุ่มเป้าหมายเราจึงต้องมีความเข้าใจลักษณะของตัวสื่อหนังสือพิมพ์  นั่นก็จะทำให้การโฆษณาของเรามีประสิทธิภาพ 
การลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
1. โฆษณาเดี่ยว (Display Advertising)
เป็นการโฆษณาสินค้าเต็มหน้าหนังสือพิมพ์ โดยไม่มีโฆษณาอื่นมาปะปนกันเป็นโฆษณาที่สร้างความตื่นเต้น หรูหรา ยิ่งใหญ่เป็นเอกเทศถ้าเป็นสีก็จะทำให้เกิดควาสะดุดตามากยิ่งขึ้น
2. โฆษณาหมู่ (Classified Advertising)
เป็นการลงโฆษณาสินค้าในพื้นที่ที่หนังสือพิมพ์จัดไว้ให้โดยเฉพาะจะมีสินค้าหลากหลายชนิดลงโฆษณาปะปนกัน เช่นโฆษณาขายที่ดิน รถยนต์มือสองเรียนภาษาอังกฤษ คอมพิวเตอร์ โปรแกรมหนัง ฯลฯ 
หนังสือพิมพ์ Newspaper 
ข้อดี
1. เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างกว้างขวา
2. เลือกกลุ่มเป้าหมายทางภูมิศาสตร์ได้
3. ส่งข่าวสารได้รวดเร็วทันสมัย ทันเวลา
4. ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวถูกกว่าสื่อชนิดอื่นๆ (ในประเภทสื่อสิ่งพิมพ์)
5. เป็นสื่อที่มีความน่าเชื่อถือจากคนทั่วไป
ข้อเสีย
1. ไม่สามารถเจาะจงกลุ่มเป้าหมายแบบเฉพาะกลุ่มได้
2. รูปภาพ สีสัน และคุณภาพกระดาษค่อนข้างต่ำ
3. อายุของหนังสื่อพิมพ์จะสั้น ทำให้ผ่านตาผู้บริโภคได้น้อยครั้ง 

นิตยสาร Magazine           
นิตยสารเป็นสิงพิมพ์ที่รวมเนื้อหาสาระประเภทต่างๆเข้าไว้ด้วยกันที่มีความน่าสนใจหลายๆเรื่อง แต่เป็นเรื่องประเภทเดียวกันทำให้สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายเฉพาะได้ ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของสินค้าและจัดพิมพ์ออกมาเป็นเล่มวางตลาดเป็นรายคาบ (Periodical Publication)คือรายสัปดาห์ รายปักษ์ รายเดือน เป็นต้น

ประเภทนิตยสาร

สมาคมโฆษณาธุรกิจแห่งประเทศไทยได้จำแนกประเภทของนิตยสารที่มีวางจำหน่ายทั่วไปในท้องตลาด มีจำนวนมากกว่า 15 ประเภทเช่น
1. นิตยสารการเมือง
2. นิตยสารกีฬา
3. นิตยสารสำหรับเด็ก
4. นิตยสารทางการถ่ายภาพและภาพพิมพ์
5. นิตยสารการท่องเที่ยว
6. นิตยสารทางธุรกิจและทางการโฆษณา
7. นิตยสารบันเทิง
8. นิตยสารบ้าน
9. นิตยสารผู้หญิง
10. นิตยสารผู้ชาย
11. นิตยสารรถ
12. นิตยสารทางศิลป-วัฒนธรรม
13. นิตยสารเศรษฐกิจ
14. นิตยสารสุขภาพ
15. นิตยสารครอบครัว
ที่มีความน่าสนใจหลายๆเรื่อง แต่เป็นเรื่องประเภทเดียวกันทำให้สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายเฉพาะได้ ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของสินค้าและจัดพิมพ์ออกมาเป็นเล่มวางตลาดเป็นรายคาบ (Periodical Publication)คือรายสัปดาห์ รายปักษ์ รายเดือน เป็นต้น
นิตยสาร Magazine 
ข้อดี
1. เป็นสื่อที่สามารถเจาะจงกลุ่มเป้าหมายได้ง่าย
2. สื่อมีอายุยาวนาน ทำให้โฆษณาผ่านตาผู้บริโภคบ่อยครั้ง
3. สื่อมีคุณภาพ เพราะกระดาษมีคุณภาพ และการพิมพ์มีคุณภาพสูง
4. มีจำนวนผู้อ่านต่อฉบับสูง
5. เข้าถึงผู้บริโภคได้ในวงกว้าง
ข้อเสีย
 1. ระยะเวลาในการวางแผงจำหน่ายไม่ตรงเวลาทำให้ข่าวสารเกิดความล่าช้า จนบางครั้งข้อมูลดีเดย์อาจพ้นกำหนดไปแล้วสื่อทางไปรษณีย์ Mail-order advertising เอ็ดเวิร์ดเอ็น เมเยอร์(Edward N. Mayer) นักโฆษณาทางไปรษณีย์ของสหรัฐอเมริกาได้ให้ข้อคิดเป็นหลักการของการดำเนินการโฆษณาทางไปรษณีย์ไว้"ถึงแม้ชิ้นงานโฆษณาทางไปรษณีย์ของคุณจะเลิศสักเพียงใดก็ตามข้อความและคำโฆษณายอดเยี่ยมรูปแบบการจัดภาพในงานศิลปกรรมของคุณก็เป็นที่พึงพอใจศิลปการพิมพ์ก็สามารถชนะการประกวดได้รางวัลยอดเยี่ยมแสตมป์ของคุณก็เป็นแสตมป์รุ่นใหม่หายากและเหมาะแก่การเก็บเป็นของที่ระลึกแต่ถ้าชิ้นงานโฆษณาทางไปรษณีย์นั้นส่งไปยังบุคคลที่ไม่เหมาะสมกับสินค้าของคุณและเขาไม่สามารถซื้อสินค้าคุณได้ ความพยายามทั้งหมดของคุณก็คือความล้มเหลว ซึ่งกลับกลายเป็นการสูญเสียที่แพงยิ่ง
"สื่อทางไปรษณีย์ Mail-order advertising รูปแบบการโฆษณาทางไปรษณีย์ 
 1. จดหมายขาย Sales Lettersเป็นรูปแบบการโฆษณาที่ใช้ข้อความตัวอักษรเป็นหลักมีลักษณะคล้ายจดหมายสำคัญทางราชการหากมีการเซ็นต์ชื่อผู้ส่งด้วยลายเซ็นต์ของตนเองแล้วยิ่งทำให้ผู้บริโภคเกิดความรู้สึกที่ดี
  2. โปสการ์ดPostcards สามารถใช้ไปรษณียบัตรพิมพ์ข้อความโฆษณาที่เตรียมไว้หรือใช้วิธีการพิมพ์ไปรษณียบัตรขึ้นมาใหม่ แล้วส่งให้ลูกค้าเป้าหมายข้อความโฆษณาจะเป็นข้อความที่สั้นๆ
  3. ใบปลิว Leafletsเป็นใบโฆษณาเล็กๆ แนบมากับจดหมายนำมาเสริมเพราะใบปลิวสามารถพิมพ์รูปแบบการโฆษณาได้สวยงามและมีเนื้อหาที่น่าสนใจ  
4. แผ่นพับ Folder or Brochure มีลักษณะคล้ายใบปลิวผสมจุลสาร บางครั้งสามารถพับให้เป็นตัวซองจดหมายได้ในตั 
5. จุลสาร Booklets มีลักษณะคล้ายหนังสือเล่มบางๆ เล็กๆมีเนื้อหาหลายหน้ากระดาษ บรรจุข่าวสารรายละเอียดได้อย่างครบถ้วนแม้จุลสารจะมีค่าใช้จ่ยที่สูงแต่ก็ให้ผลทางด้านความรูสึกที่คุ้มค่า 
6. แค็ตตาล็อก Catalogsเป็นเอกสารหนังสือที่อธิบายรายละเอียดของสินค้าที่สมบูรณ์ที่สุดจะมีภาพสินค้า ขนาด น้ำหนัก สี และรหัสสินค้าเพื่อใช้อ้างอิงในการสั่งซื้อได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องไปดูสินค้าจริง ภาพตัวอย่างการโฆษณาทางไปรษณีย์แบบแค็ตตาล็อ
ข้อดี
1. สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้
2. สามารถส่งข่าวสารถึงกลุ่มเป้าหมาย หลายกลุ่มได้ในเวลาที่พร้อมกันได้
3. เป็นสื่อที่เหมาะกับการส่งข่าวสารแบบเทศกาล และการส่งเสริมการขายพิเศษ
4. สามารถออกแบบรูปแบบสื่อได้เต็มที่ เพราะไม่มีข้อจำกัดด้านเนื้อที่ ขนา
5. มีผู้โฆษณาเพียงรายเดียวทำให้ผู้บริโภคไม่สับสน
ข้อเสีย 
1. ค่าใช้จ่ายต่อหัวสูง
2. โฆษณาจะสัมฤทธิ์ผล จะขึ้นอยู่กับคุณภาพของรายชื่อลูกค้าเป็นสำคัญ
สมุดโทรศัพท์หน้าเหลือง Directories 
นอกจากสื่อสิงพิมพ์เบื้องต้นดังที่กล่าวมาแล้วก็ยังมีสื่อสิ่งพิมพ์ชนิดต่างๆอีกมากมายเช่น สมุดโทรศัพท์ไดเร็คทอรี่ สมุดโทรศัพท์ไดเร็คทรอรี่ คือหนังสือที่รวบรวมรายชื่อ โทรศัพท์ กลุ่มธุรกิจ ร้านค้า สินค้าต่างๆ แยกออกเป็นหมวดหมู่ เรียงลำดับตัวอักษร ลักษณะการโฆษณาก็จะมีพื้นที่พิเศษ คือ นอกจากจะมีการบอกชื่อร้านค้าและเบอร์โทรศัพท์แล้วยังมีพื้นที่สำหรับการลงรูปถ่ายร้านค้าหรือสินค้า รวมถึงข้อมูลเบื้องต้นด้วยสื่อชนิดนี้จะมีข้อด้อยตรงที่กระดาษที่ใช้พิมพ์เป็นกระดาษคุณภาพต่ำและไม่พิมพ์สี่อย่างไรก็ดีสื่อชนิดนี้นับเป็นสื่อที่สำคัญอีกสื่อหนึ่งที่หน่วยงานธุรกิจต่างๆไม่ควรมองข้าม เพราะเป็นสื่อที่ให้ประโยชน์จริงๆ อายุของสื่อก็ยาวนานใช้กันเป็นปี ผู้บริโภคที่ต้องการสินค้าสามารถเปิดหาร้านค้าที่จำหน่ายได้ทันที 
ข้อดี
1. เสียค่าใช้จ่ายต่ำ
2. สื่อมีอายุที่ยาวนาน
ข้อเสี
1. คุณภาพกระดาษต่ำ
2. เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงแคบ 
ดังได้กล่าวมาแล้วว่า การโฆษณาสามารถกระทำได้หลายรูปแบบ มีความหลากหลายปละสามารถกระทำได้หลายวิธี การโฆษณาทุกชนิดจึงไม่เหมือนกัน แต่การโฆษณาแตกต่างกันขึ้นอยู่กับว่า ใคร (who) คือกลุ่มบุคคลที่เราต้องการให้ข่าวสารการโฆษณาไปถึง จะทำการโฆษณา ที่ไหน (where) จะใช้สื่อ ประเภทใด (which) และสิ่งที่ต้องการที่จะโฆษณาคือ อะไร (what) เป็นต้นดังนั้นเมื่ออาศัยเกณฑ์ดังกล่าว การโฆษณาจึงสามารถแบบประเภทออกได้เป็น 4 วิธี ดังนี้คือ(Bovee,et al.1995:5-10)
1.แบ่งตามลักษณะกลุ่มเป้าหมาย (target audience)
2.แบ่งตามลักษณะพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ (geographic area)
3.แบ่งตามลักษณะสื่อที่นำมาใช้ (media used)
4.แบ่งตามจุดมุ่งหมาย (purpose)
1.การโฆษณาแบ่งตามลักษณะกลุ่มเป้าหมาย
การโฆษณาสามารถแบ่งประเภทตามลักษณะของกลุ่มเปาหมายที่ผุ้โฆษณาต้องการให้เข้าถึง เพราะการโฆษณาทุกชนิดไม่ว่าเป็นการโฆษณาทางสิ่งพิมพ์ ทางโทรทัศน์ หรือโฆษราบนแผ่นป้ายขนาดใหญ่

การโฆษณาสามารถแบ่งประเภทตามลักษณะของกลุ่มเปาหมายที่ผุ้โฆษณาต้องการให้เข้าถึง เพราะการโฆษณาทุกชนิดไม่ว่าเป็นการโฆษณาทางสิ่งพิมพ์ ทางโทรทัศน์ หรือโฆษราบนแผ่นป้ายขนาดใหญ่การโฆษณาสามารถแบ่งประเภทตามลักษณะของกลุ่มเปาหมายที่ผุ้โฆษณาต้องการให้เข้าถึง เพราะการโฆษณาทุกชนิดไม่ว่าเป็นการโฆษณาทางสิ่งพิมพ์ ทางโทรทัศน์ หรือโฆษราบนแผ่นป้ายขนาดใหญ่(billboard) ต่างก็มีจุดมุ่งเน้นที่จะเข้าถึงกลุ่มบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งเรียกกันกว่า กลุ่มเป้าหมาย และกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวในทางการโฆษณา โดยทั่วไปแบ่งออกได้เป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้ 2กลุ่มคือ กลุ่มผู้บริโภค และกลุ่มธุรกิจ
1.1 การโฆษณาเพื่อผู้บริโภค (consumer advertising) ได้แก่ การโฆษณาเพื่อสื่อขาวสารไปยังผู้บริโภค โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้บุคคลหรือครอบครัว ซื้อสินค้าและบริการเพื่อนำไปใช้ส่วนตัวหรือใช้ในครัวเรือน จุดมุ่งเน้นการโฆษณามุ่งเป้าหมายไปที่ผู้ซื้อสินค้าโดยตรง หรือ อาจเน้นที่ผู้ใช้ก็ได้ตามแต่จะเป็นเหมาะสม ตัวอย่างเช่น การโฆษราของเด็กเล่น อาจมุ่งเน้นโฆษณาไปที่ผู้ปกครองของเด็กซึ่งเป็นผู้ซื้อ แทนที่จะมุ่งการโฆษณาที่เด็กซึ่งเป็นผู้เล่น เป็นต้น
1.2 การโฆษราเพื่อธุรกิจ (business advertising หรือ business-to-business advertising) ได้แก่ การโฆษณาเพื่อสื่อข่าวสารไปยังบุคคลผู้ซื้อ หรือผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ในธุรกิจองค์การที่ไม่หวังผลกำไร (not-for-profit organization) และหน่วยงานของรัฐบาล และด้วยเหตุที่การโฆษณาประเภทนี้มิได้มุ่งเน้นข่าวสารไปยังผู้บริโภคขั้นสุดท้าย (ultimate consumer) แต่เป็น การมุ่งเน้นการสื่อข่าวสารไปยังผู้ซื้อ ซึ่งเป็นหน่อยงาน องค์การและสถาบัน ดังนั้นการโฆษณาดังกล่าวนี้ บางครั้งจึงมีชื่อ ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “การโฆษณาเพื่อองค์การ”(organizational advertising) และเนื่องจากการโฆษณาเพื่อธุรกิจ ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่กว้าง จึงแบ่งการโฆษณาประเภทนี้เป็นประเภทย่อย ๆ ได้เป็น ประเภทดังนี้คือ
1.2.1 การโฆษณาเพื่อกลุ่มอุตสาหกรรม (industrial advertising) คือ การโฆษณาที่มุ่งเป้าหมายการสื่อสารไปยังกลุ่มบุคคล ผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ซื้อหรือผู้ใช้วัสดุหรือบริการต่าง ๆ ที่มีความจำเป็นต่อการดำเนินงานของธุรกิจ หรือเพื่อการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ อีกต่อหนึ่ง ซึ่งได้แก่ การโฆษณาสินค้าอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น วัตถุดิบ เครื่องจักรกล นำมันหล่อลื่น ชิ้นส่วนประกอบ และเครื่องใช้สำนักงานต่าง ๆ เป็นต้น
1.2.2 การโฆษณาเพื่อกลุ่มการค้า (trade advertising) คือ การโฆษณาที่มุ่งเป้าหมายการสื่อสารไปยังกลุ่มพ่อค้าคนกลาง เช่น ผู้ค้าปลีก และผู้ค้าส่ง เป็นต้น โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ซื้อสินค้าไปขายต่อให้กับผู้บริโภคหรือลูกค้าอีกต่อหนึ่ง การโฆษณาประเภทนี้ส่วนใหญ่ผู้ผลิตจะเป็นผู้กระทำ เพื่อต้องการให้คนกลางสั่งซื้อสินค้าและบริการของตนไปจำหน่า
1.2.3 การโฆษณาเพื่อกลุ่มอาชีพ (professional advertising) คือ การโฆษณาที่มุ่งเป้าหมายการสื่อสารไปยังกลุ่มบุคคลผู้ประกอบอาชีพในสาขาต่าง ๆ เช่น ทนายความ นักบัญชี แพทย์ และวิศวกร เป็นต้น การโฆษณาประเภทนี้อาจนำมาใช้เพื่อเชิญชวนให้กลุ่มอาชีพเหล่านี้ซื้อผลิตภัณฑ์บางอย่าง ซึ่งมีประโยชน์ต่อการดำเนินงานของตนเอง รวมทั้งเพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์นั้นให้คนไข้ หรือลูกค้า ลูกความของตนนำไปใช้อีกต่อหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์จำพวกยา แปรงสีฟัน อุปกรณ์ออกกำลังกาย และอุปกรณ์และวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น
1.2.4 การโฆษณาเพื่อกลุ่มเกษตรกร (agricultural advertising) คือ การโฆษณาที่มุ่งเป้าหมายการสื่อสารไปยังกลุ่มเกษตรกรโดยเฉพาะ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้กลุ่มเกษตรกรซื้อผลิตภัณฑ์ที่เสนอขาย ตัวอย่าเช่น รถแทรกเตอร์ และยากำจัดแมลงศัตรูพืช เป็นต้น
2.การโฆษณาแบ่งตามลักษณะพื้นที่ทางภูมิศาสตร์
การแบ่งประเภทของการโฆษณาตามลักษณะพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ เป็นการแบ่งวิธีที่สอง ซึ่งแบ่งประเภทของการโฆษณาโดยจำกัดพื้นที่ตั้งแต่ บริเวณท้องที่ใกล้เคียงเพียงท้องถิ่นเดียว จนกระทั่งครอบคลุมพื้นที่ทั่วโลก แบ่งออกเป็น การแบ่งประเภทของการโฆษณาตามลักษณะพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ เป็นการแบ่งวิธีที่สอง ซึ่งแบ่งประเภทของการโฆษณาโดยจำกัดพื้นที่ตั้งแต่ บริเวณท้องที่ใกล้เคียงเพียงท้องถิ่นเดียว จนกระทั่งครอบคลุมพื้นที่ทั่วโลก แบ่งออกเป็น การแบ่งประเภทของการโฆษณาตามลักษณะพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ เป็นการแบ่งวิธีที่สอง ซึ่งแบ่งประเภทของการโฆษณาโดยจำกัดพื้นที่ตั้งแต่ บริเวณท้องที่ใกล้เคียงเพียงท้องถิ่นเดียว จนกระทั่งครอบคลุมพื้นที่ทั่วโลก แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้คือ
2.1 การโฆษณาระหว่างชาติ (international advertising) เป็นการโฆษณาเผยแพร่ข่าวสารครอบคลุมพื้นที่ข้ามชาติมากกว่าหนึ่งประเทศ โดยผ่านสื่อระหว่างชาติ ที่สามารถนำข่าวสารเข้าถึงผู้ฟัง หรือผู้อ่านหลายประเทศ เช่น รายการโทรทัศน์ MTV (สามารถเข้าถึงผู้ฟัง 37 ประเทศ) และCNN (สามารถเข้าถึงผู้ฟัง 94 ประเทศ) เป็นต้น รวมทั้งการใช้สื่อสิ่งพิมพ์ เช่น นิตยสารที่พิมพ์เผยแพร่ทั่วโลก เช่น Time, reader’Digest, Fortune, Harvard Business Review) และ The Wall Street Journal เป็นต้น
2.2 การโฆษณาระดับประเทศ (national advertising) เป็นการโฆษณาที่ครอบคลุมพื้นที่ภูมิภาคมากกว่าภูมิภาคในประเทศ หรือครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยผ่านสื่อต่าง ๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และนิตยสาร เป็นต้น ตัวอย่างเช่น การโฆษณาผงซักฟอก ฟิล์มถ่ายรูป และน้ำอัดลม เป็นต้น
2.3 การโฆษณาระดับภูมิภาค (regional advertising) เป็นการโฆษณาเผยแพร่เข้าถึงภูมิภาคหนึ่งโดยเฉพาะ ไม่ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ โดยผ่านสื่อต่าง ๆ ที่ครอบคลุมพื้นที่ในภูมิภาคนั้น ๆ ปกติผู้โฆษณาจะใช้สื่อโฆษณาต่าง ๆ ในภูมิภาคหรือในท้องถิ่นนั้น เช่น หนังสื่อพิมพ์ท้องถิ่น วิทยุท้องถิ่น และโทรทัศน์ท้องถิ่น ที่มีรัศมีครอบคลุมภูมิภาคต่าง ๆ เป็นต้น
2.4 การโฆษณาระดับท้องถิ่น (local advertising) เป็นการโฆษณาที่จำกัดขอบเขตครองคลุมพื้นที่น้อยกว่าการโฆษณาในระดับภูมิภาค กล่าวคือ เป็นการโฆษณาที่มุ่งเน้นระดับท้องที่ที่จำกัด เช่น เมือง หรือจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง เป็นต้น ตัวอย่างของการโฆษณาประเภทนี้ที่พบเห็นมากที่สุด คือ การโฆษณาของร้านค้าปลีก (retail advertising) ซึ่งร้านสรรพาหาร หรือหร้องสรรพสินค้า โฆษณาเชิญชวนให้ลูกค้าไปซื้อสินค้าที่วางจำหน่าย เป็นต้น และด้วยเหตุที่การโฆษณาระดับท้องถิ่นส่วนใหญ่ เป็นการโฆษณาร้านค้าปลีก ดังนั้น การโฆษณาระดับท้องถิ่น จึงอาจเรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า การโฆษณาร้านค้าปลีก
3.การโฆษณาแบ่งตามลักษณะสื่อที่นำมาใช้
การแบ่งประเภทของการโฆษณาตามลักษณะของสื่อที่นำมาใช้ เป็นการแบ่งวิธีที่สาม ซึ่งแบ่งออกได้เป็น
การแบ่งประเภทของการโฆษณาตามลักษณะของสื่อที่นำมาใช้ เป็นการแบ่งวิธีที่สาม ซึ่งแบ่งออกได้เป็นการแบ่งประเภทของการโฆษณาตามลักษณะของสื่อที่นำมาใช้ เป็นการแบ่งวิธีที่สาม ซึ่งแบ่งออกได้เป็น9 ประเภท ที่สำคัญดังนี้ คือ
3.1 การโฆษณาทางหนังสือพิมพ์ (newspaper advertising)
3.2 การโฆษณาทางนิตยาการ (magazine advertising)
3.3 การโฆษณาทางวิทยุกระจายเสียง (radio advertising)
3.4 การโฆษณาทางโทรทัศน์ (television advertising)
3.5 การโฆษณากลางแจ้ง (outdoor advertising)
3.6 การโฆษณาทางยานพาหนะ (transit advertising)
3.7 การโฆษณาทางไปรษณีย์ (direct-mail advertising)
3.8 การโฆษณาทางภาพยนตร์ (motion picture advertising)
3.9 การโฆษณาทางอินเตอร์เน็ต (internet advertising)
4.การโฆษณาแบ่งตามจุดมุ่งหมายวิธีที่สี่ของการแบ่งประเภทของการโฆษณา คือ การแบ่งประเภทตามจุดมุ่งหมายเนื่องจากผู้ทำการโฆษณา (advertisers) มีความหลากหลายมากมายหลายจำพวก ดังนั้นเหตุผลที่ผู้โฆษณานำมาใช้ในการโฆษณาจึงมีมากมายด้วยเช่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่น บริษัทอาจทำการโฆษณาเพื่อสร้างชื่อเสียงหรือภาพลักษณ์ที่ดีให้กับบริษัท ผู้ค้าปลีกอาจโฆษณาเพื่อจูงใจให้ลูกค้าหันมาซื้อสินค้าของตน ผู้ประกอบการผลิตอาจทำการโฆษณาเพื่อขายผลิตภัณฑ์ตราที่ตนผลิตขึ้น ในขณะที่หน่วยงานที่ไม่หวังผลกำไร เช่น หน่วยงานการกุศล อาจโฆษณาเพื่อให้คนบริจาคเพื่อขึ้น เป็นต้น จะเห็นได้ว่า ผู้ทำการโฆษณาแต่ละประเภท ต่างก็มีวัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายของตนเองโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตามจุดมุ่งหมายดังกล่าวสามารถแบ่งแยกการพิจารณาเปรียบเทียบออกได้เป็น 4 แนวทางด้วยกัน ดังนี้คือ
4.1 จุดมุ่งหมายเพื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์หรือไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ (product versus nonproduct advertising) จุดมุ่งหมายของการโฆษณาผลิตภัณฑ์ก็เพื่อขายสินค้าและบริการเพื่อแลกเปลี่ยนกับเงิน หรือสิ่งมีค่าบางอย่าง ส่วนจุดมุ่งหมายที่ไม่ใช่การโฆษณาผลิตภัณฑ์ ก็คือ การโฆษณาสถาบันหรือบริษัท (institutional or corporate advertising) โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความเชื่อถือศรัทธา ขัดเกลาภาพลักษณะของบริษัทให้เกิดทัศนคติที่ดีในสายตาของลูกค้า รวมทั้งเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดหรือความเข้าใจผิดในประเด็นปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับบริษัทอีกด้วย
4.2 จุดมุ่งหมายเพื่อหวังผลเชิงการค้าหรือไม่ใช่การค้า (commercial versus noncommercial advertising) การโฆษณาส่วนใหญ่ที่พบเห็นกันทั่วไปมีจุดมุ่งหมายเชิงการค้า คือ ขายสินค้าเพื่อหวังผลกำไร แต่อย่างไรก็ตามในองค์การที่ไม่หวังผลกำไร เช่น หน่วยงานการกุศล พรรคการเมือง วัดวาอาราม หรือหน่วยงานของรัฐ เป็นต้น การโฆษณาขององค์การเหล่านี้ไม่มีจุดมุ่งหมายเพื่อการค้า แต่มีจุดมุ่งหมายเพื่อเชิญชวนให้ร่วมกับบริจาค เพื่อให้ออกเสียงลงคะแนน ให้กับผู้สมัครเลือกตั้ง หรือเชิญชวนให้ร่วมกันรักษาความสะอาด หรืออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เป็นต้น
4.3 จุดมุ่งหมายเพื่อสร้างอุปสงค์ขั้นต้นหรือขั้นเลือกสรร (primary-demand versus selective-demand advertising) จุดมุ่งหมายของการโฆษณาเพื่อสร้างอุปสงค์ขั้นต้น ก็คือการกระตุ้นให้ผู้ซื้อเกิดความความต้องการในผลิตภัณฑ์หรือบริการประเภทใดประเภทหนึ่งโดยเฉพาะ ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายให้เกิดความต้องการในตราใดตราหนึ่งเท่านั้น การโฆษณาประเภทนี้โดยทั่วไปผู้ทำการโฆษณามักจะทำในนามของสมาคม หรือองค์การซื้อเป็นตัวแทนของบริษัทผู้ประกอบการผลิต หรือให้บริการหลาย ๆ แห่ง ตัวอย่างเช่น องค์การท่องเที่ยวในต่างประเทศ เป็นการ โฆษณาเพื่อสร้างอุปสงค์ขั้นต้น แต่การโฆษณาเพื่อให้ไปสถานที่องเที่ยวที่ไหน รูปแบบการท่องเที่ยวแบบใด ทางน้ำ ทางทะเล หรือทางบก ในป่า หรือเชิงเขา เป็นการโฆษณาเพื่อสร้างอุปสงค์ขั้นเลือกสรร เป็นต้น
4.4 จุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้รับสารตอบสนองในทันทีหรือไม่ทันที (direct-action versus indirect-action advertising) ในกรณีที่ผู้ทำการโฆษณามีจุดมุ่งหมายเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายตอบสนอง แสดงพฤติกรรมในทันทีทันใดเมื่อได้รับข่าวสาร การโฆษณาก็มักจะมีคูปองส่วนลด เงื่อนไข หรือกำหนดระยะเวลาที่เสนอให้บริการพิเศษที่แน่นอน ผู้ทำการโฆษณาก็จะสามารถทราบผลการโฆษณาว่าประสบผลสำเร็จหรือไม่ จากการนับผู้ตอบรับในช่วงนั้นในทางตรงข้างบ้างครั้งการโฆษณา ก็เพียงแต่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายรับรู้รับทราบผลิตภัณฑ์ที่เสนอขายเท่านั้น ไม่มีจุดหมายเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายปฏิบัติการ หรือตอบสนองโดยตรงในทันที การโฆษณาในลักษณะนี้เรียกว่า การโฆษณาที่ไม่ต้องปฏิบัติการในทันที (indirect-action advertising) การโฆษณาประเภทนี้จะต้องใช้เวลายาวนานต่อเนื่องกัน เพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ (product’s image) อธิบายประโยชน์สำคัญของผลิตภัณฑ์ หรือบอกสถานที่ที่ลูกค้าจะสามารถซื้อได้ เป็นต้น

ตอนที่ 4 สื่อโฆษณา (สิ่งที่วัยรุ่นให้ความสนใจ)

ตอนที่ 4 ส่วนประกอบของสารโฆษณา


ส่วนประกอบที่สำคัญของสารโฆษณาสามารถแบ่งออกได้เป็น 2  กลุ่มใหญ่ ๆ  คือ
1. วัจนภาษา
 คือการที่มนุษย์ได้มีการกำหนดข้อตกลงในการใช้สัญลักษณ์แทนคำต่าง ๆ ในการสื่อความหมาย เพื่อถ่ายทอดความคิด ซึ่งอาจใช้การเปล่งเสียงในภาษาพูดหรือการใช้ตัวอักษร ในการเขียนแล้วแต่โอกาส ในการสื่อความหมายเพื่อ สื่อสารกันระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร ซึ่งในงานโฆษณานั้นสามารถ แบ่งออกได้เป็น การพาดหัวเรื่อง  ข้อความโฆษณา คำขวัญหรือ สโลแกน คำบรรยายใต้ภาพ และชื่อหรือยี่ห้อสินค้า


2. อวัจนภาษา
คือสัญลักษณ์ที่ใช้แทนความหมายโดยไม่ใช้กลุ่มคำหรือไม่เป็นคำพูดอาจกล่าวได้ว่าเป็นองค์ประกอบอื่น ๆ ในโฆษณา เพื่อนำมาช่วยเพิ่มเติมการสื่อความหมายในสารโฆษณาให้มีความหมายลึกซึ้ง มากกว่าการ ใช้ถ้อยคำเพียงอย่างเดียว เพื่อทำให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น  อวัจนภาษา สามารถแยกออกได้เป็น ภาพประกอบ เครื่องหมายการค้า สี โลโก้ การจัดหน้ากระดาษหรือภาพ และการใช้ตัวอักษรเป็นต้น 

การใช้ภาษาในการโฆษณา
 การโฆษณา มีความจำเป็นต้องใช้ภาษาที่ดึงดูดความสนใจของคนอ่านคนฟัง นักโฆษณาจึงมักคิดค้นถ้อยคำ สำนวนภาษาแปลก ๆ ใหม่ ๆ นำมาโฆษณาอยู่เสมอ เพื่อเรียกร้องความสนใจจากคนซื้อ ในขณะเดียวกันการโฆษณาต้องใช้ภาษาที่ง่าย ๆ กะทัดรัด ได้ใจความชัดเจนดี น่าสนใจ ให้ทันเหตุการณ์ รวดเร็ว มีเสียงสัมผัสคล้องจอง จดจำได้ง่ายด้วย จึงมีถ้อยคำเกิดใหม่ ๆ อยู่เสมอ 
                วิเศษ  ชาญประโคน (2550, หน้า 48-50)  กล่าวถึงภาษาโฆษณาไว้สรุปได้ดังนี้  
ภาษาโฆษณาเป็นภาษาที่มุ่งโน้มน้าวจิตใจให้ผู้รับสารเปลี่ยนความคิด  และเกิดการกระทำตาม  ลักษณะของภาษาจึงมีสีสัน เน้นอารมณ์ด้วยการใช้ภาษาต่างระดับในข้อความเดียวกัน  ส่วนมากเป็นภาษาทางการกับกึ่งทางการ  ภาษาโฆษณามีลักษณะดังนี้
1. เรียกร้องความสนใจ(มีการใช้ประโยคที่สั้น กะทัดรัด)
คือเลือกใช้ภาษาที่ง่าย สุภาพ กระตุ้นความรู้สึกของลูกค้า ไม่ยาวหรือสั้นจนเกินไป ไม่ใช้คำพูดหรือข้อความ ฟุ่มเฟือยไม่จำเป็นแต่อ่านแล้วสามารถที่จะจับใจความ ได้ทันที
2. ให้ความกระจ่างแก่ลูกค้า(มีความชัดเจน)
เป็นการใช้ภาษาที่ง่ายชัดเจนในการกล่าวถึงคุณภาพของสินค้าหรือบริการ  ไม่กำกวมในข้อความโฆษณา คือใช้คำพูดที่ผู้รับสารอ่านหรือได้ยินแล้ว ปราศจากข้อสงสัย เพื่อที่จะสามารถตอบคำถามที่คาดว่าผู้รับสารต้องการที่จะทราบได้หลีกเลี่ยงการใช้คำพูด สำนวนโวหาร หรือข้อความ ที่กำกวมทำให้ตีความได้หลายทาง หรือสามารถที่จะตีความได้หลายทาง หรือสามารถที่จะ
 ตีความได้หลายความหมาย
3. ให้ความมั่นใจ(ใช้ภาษาที่อ่าน หรือฟัง เข้าใจง่ายกับการบรรยายถึงสรรพคุณสินค้า) 
 เป็นการอ้างอิงข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจ อาจมีการใช้ สำนวนภาษาที่แตกต่างจากโครงสร้างในภาษาไทย กล่าวคือไม่ยึดติดกับหลักภาษาไทย มากจนเกินไปเพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันใน อายุ อาชีพ และเพศ  แต่ต้องคำนึงถึงว่าจะทำให้เกิดผลให้ผู้อ่านเข้าใจผิดหรือเกิดผลในทางลบได้ อย่ามุ่งแต่จะใช้ความแปลกใหม่ แต่เพียงอย่างเดียว ภาษาที่ใช้กันทั่วไปเป็นสิ่งที่ดีถ้านำมาใช้อย่างเหมาะสม เนื่องจากเป็นสิ่งที่คุ้นเคย กันเป็นอย่างดี แต่ต้องระวังไม่ให้ผู้รับสารรู้สึกว่าเป็นภาษาที่หยาบคาย
4. ยั่วยุให้เกิดการตัดสินใจ 
 เป็นการใช้ถ้อยคำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการโดยเร็วที่สุด
ข้อควรคำนึงในการใช้ภาษาเพื่อการโฆษณา มีดังนี้
1. ใช้ภาษาสามัญ ง่าย ๆ สุภาพเข้าใจง่าย  สละสลวยหนุ่มนวล  ชวนสนใจ
2. ใช้ถ้อยคำภาษาที่ตรงความหมายที่ต้องการ สอดคล้องกับวัฒนธรรมของการใช้ภาษา
3. ใช้ถ้อยคำ ภาษาที่ถูกต้อง เหมาะสม ไม่ใช้ภาษาแสลง วิบัติ หรือคำต่ำกว่ามาตรฐาน 
4. ใช้ภาษาให้ถูกต้องตามแบบแผน ไม่ใช้ถ้อยคำที่ตัด หรือย่อที่รู้กันเฉพาะกลุ่ม
5. ไม่ใช้คำที่มีความหมายกำกวม เข้าใจได้สองแง่สองมุม  คำผวน  คำภาษาตลาด
6. ไม่ใช้คำวิชาการหรือศัพท์เทคนิคเกินความจำเป็น 
7. ควรใช้คำที่เหมาะสมกับกาลเทศะและบุคคล  ไม่ส่อเสียด  ไม่ทับถมผู้อื่น
9. ไม่ใช้ภาษาโลดโผนและโฆษณาเกินความจริง เป็นการดูถูกสติปัญญาผู้รับสาร

ตอนที่ 3 สื่อโฆษณา (สิ่งที่วัยรุ่นให้ความสนใจ)

ตอนที่  3 วัตถุประสงค์และโครงสร้างของการโฆษณา


วัตถุประสงค์ของการโฆษณาโดยทั่วไปมีดังต่อไปนี้

1. เพื่อแนะนำให้รู้จักสินค้าหรือบริการใหม่ ๆ  แก่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย 
2. เพื่อเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ  เช่น  ประเภท  ประโยชน์ คุณสมบัติโดดเด่น  ความสำคัญ ของสินค้าหรือบริการนั้น ๆ  ต่อการดำรงชีวิตของผู้บริโภค  เป็นต้น 
3. เพื่อสร้างจุดเด่นให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของสินค้าหรือบริการ  จนผู้บริโภคจำชื่อ 
จำตราของสินค้าหรือบริการนั้นได้ดี 
4. เพื่อสร้างแรงจูงใจ  เร้าใจหรือดึงดูดใจ  กระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดความสนใจในสินค้า  หรือบริการ   ซึ่งนำไปสู่ความต้องการในการซื้อสินค้าหรือบริการนั้น ๆ
5. เพื่อส่งเสริมการใช้สินค้าหรือบริการให้มากขึ้น เป็นการแข่งขันในการจำหน่ายสินค้า  หรือบริการกับคู่แข่งที่จำหน่ายสินค้า หรือบริการประเภทเดียวกัน เป็นการเอาชนะคู่แข่งขันในการจำหน่าย  เพิ่มยอดขายหรือเพิ่มการครองตลาด การขยายตลาดสินค้าหรือบริการนั้นให้กว้างยิ่งขึ้น
6. เพื่อเป็นการทบทวนความจำ  เน้นย้ำให้สินค้าหรือบริการนั้นอยู่ในความทรงจำ ของผู้บริโภคตลอดไป
7. เพื่อสร้างตำแหน่งสินค้าหรือบริการขึ้นในความนึกคิดของผู้บริโภค
8. เพื่อสร้างภาพลักษณ์และเจตคติในทางที่ดีให้กับบริษัทผู้ผลิตสินค้าหรือบริการนั้น
9. เพื่อสร้างศรัทธาความเชื่อถือในสินค้าหรือบริการให้เป็นที่ยอมรับ  อันจะส่งผลถึง การจำหน่ายสินค้า ตัวใหม่หรือบริการใหม่ ๆ ของผู้ผลิตเดียวกัน

โครงสร้างข้อความของการโฆษณา

โครงสร้างข้อความโฆษณามีองค์ประกอบหลัก  5  ประการ  คือ
1.หัวเรื่อง หรือ พาดหัว
เป็นข้อความในส่วนแรกของโฆษณา เพื่อดึงดูดหรือเรียกร้อง ความสนใจ มีการใช้ถ้อยคำที่ สั้น กะทัดรัด ได้ใจความ น่าสนใจ  เร้าใจและดึงดูดความสนใจกลุ่มเป้าหมาย โดยใช้ภาษาที่สะดุดตา หรือใช้ตัวอักษร ที่มีความชัดเจน มีความโดดเด่นมากกว่าส่วนอื่น ๆ 

2.พาดหัวรอง หรือข้อความขยายพาดหัว
เป็นข้อความขยายทำให้พาดหัวมีความชัดเจน มากขึ้นหรือสร้างความเข้าใจต่อเนื่องจากพาดหัวหลัก   ซึ่งเป็นส่วนที่อาจจะมีหรือไม่มีก็ได้
3. ข้อความโฆษณา ที่มีการขยายความหรือรายละเอียดเพิ่มเติมจากหัวเรื่องหรือพาดหัว 
 ซึ่งในการอธิบายนั้นอาจกล่าวถึงประโยชน์ สรรพคุณรายละเอียดต่าง ๆ ของสินค้า คุณภาพ ราคา การเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวกับยี่ห้ออื่น หรือการกล่าวถึงหลักฐานต่างๆเช่น การรับประกันคุณภาพ จากสถาบันต่าง ๆ ความคิดเห็นจากบุคลที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับจากบุคคลทั่วไป หรือความคิดเห็น จากผู้เชี่ยวชาญเป็นต้น เพื่อชักจูงให้ผู้รับสารรู้สึกเชื่อถือ และคล้อยตาม ซึ่งในส่วนนี้จะมีการใช้ ตัวอักษรที่มีขนาดเล็กกว่าพาดหัวหรือหัวเรื่อง
4. ภาพประกอบ
คือ สิ่งที่จะเสริม ตลอดจนสร้างความเข้าใจเพิ่มความเข้าใจเพิ่มจากข้อความโฆษณา หน้าที่สำคัญ ประการหนึ่งของภาพประกอบก็คือ การสร้างหรือดึงดูดความสนใจเช่นเดียวกับพาดหัว แต่ภาพประกอบนั้น ควรจะมีความสัมพันธ์กับพาดหัวตลอดจนเนื้อหาสาระของสิ่งโฆษณาแต่ละชิ้นเพื่อดึงความสนใจผู้อ่าน  ภาพประกอบไม่เพียงแต่เป็นตัวดึงดูดความสนใจเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวเสริมหรือขยายความ ข้อความโฆษณา เพื่อให้มีความเข้าใจมากขึ้น
5. สรุป
เป็นส่วนที่จะทำให้ผู้รับสารรู้สึกประทับใจและจดจำได้ และเกิดความต้องการ ในสินค้าหรือบริการนั้น ๆ หรืออาจเป็นการเสนอประโยชน์อีกครั้ง และกระตุ้นให้ผู้รับสารรู้สึกต้องการในสินค้าหรือบริการนั้น ๆ ดังนั้น คำสรุปจึงเป็นส่วนที่สำคัญมากอีกส่วนหนึ่งในโครงสร้างของข้อความโฆษณา เนื่องจาก ผู้รับสารอาจมีปฏิกิริยาในทางใดก็ได้กับโฆษณา เมื่ออ่านคำสรุป ของโฆษณา


ตอนที่ 2สื่อโฆษณา (สิ่งที่วัยรุ่นให้ความสนใจ)

ตอนที่ 2 ลักษณะและองค์ประกอบของการโฆษณา

ลักษณะของการโฆษณา

1. การโฆษณาเป็นการสื่อสารจูงใจ  มีวัตถุประสงค์เพื่อการจูงใจให้เกิดพฤติกรรมการซื้อโดยวิธีการพูด  การเขียนหรือการสื่อความหมายใด ๆ   ที่มีผลให้ผู้บริโภคเป้าหมาย คิดคล้อยตาม  กระทำตามหรือเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมไปตามที่ผู้โฆษณาต้องการ
2. การโฆษณาเป็นการจูงใจด้วยเหตุผลจริงและเหตุผลสมมติ  หมายถึง การจูงใจโดยบอกคุณสมบัติที่ เป็นประโยชน์ของผลิตภัณฑ์  และการจูงใจโดยใช้หลักการตอบสนองความต้องการด้านจิตวิทยา
 3. การโฆษณาเป็นการนำเสนอ สื่อสารผ่านสื่อมวลชนประเภทต่าง ๆ  ซึ่งสามารถเผยแพร่ข่าวสาร เกี่ยวกับสินค้าและบริการในระยะกว้างไกลได้สะดวก รวดเร็วที่สุด ไปสู่กลุ่มเป้าหมาย อย่างกว้างขวาง ไปสู่มวลชนอย่างรวดเร็ว เข้าถึงพร้อมกันและทั่วถึง
 4. การโฆษณาเป็นการเสนอขายความคิด  สินค้า  และบริการ  โดยใช้วิธีการจูงใจให้ผู้บริโภค เกิดความพอใจเกิดทัศนคติที่ดี  อันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในการซื้อสินค้า หรือบริการที่เสนอขาย
 5. การโฆษณาต้องระบุผู้สนับสนุนหรือตัวผู้โฆษณา  ซึ่งมีผลความเชื่อถือของผู้บริโภค
ของผู้บริโภค สร้างความเชื่อมั่นและแสดงให้เห็นว่า เป็นการโฆษณาสินค้า(advertising)มิใช่ เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda) 
 6. การโฆษณาต้องจ่ายค่าตอบแทนในการโฆษณาในสื่อต่าง ๆ   เช่น  วิทยุกระจายเสียง  วิทยุโทรทัศน์  หนังสือพิมพ์  วารสารและนิตยสาร  เป็นต้น  ดังนั้นผู้โฆษณาจะต้องมีงบประมาณ เพื่อการโฆษณาสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ด้วย
องค์ประกอบของการโฆษณาจำแนกออกเป็น  4  ประการ  ได้แก่
1. ผู้โฆษณา (advertiser)
    คือ  เจ้าของสินค้า  เจ้าของบริการ  ซึ่งจะต้องประสานกับงานด้านการตลาดของหน่วยงานนั้น โฆษณาทุกชิ้นจะต้องปรากฏตัวผู้โฆษณาให้ชัดเจน  และผู้โฆษณาจะต้องรับผิดชอบ ค่าใช้จ่ายใน การโฆษณาทั้งหมด
2. สิ่งโฆษณา (advertisement)
    คือ  โฆษณาที่ทำสำเร็จรูปแล้ว  หรือสิ่งพิมพ์ประเภทต่าง ๆ ที่ประกอบด้วยข้อความ รูปภาพซึ่งจะสื่อ ถึงสินค้าหรือบริการ ที่เห็นอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์  นิตยสาร  รวมถึงภาพยนตร์โฆษณา ทางโทรทัศน์และบทโฆษณาทางวิทยุ  เป็นต้น
3. สื่อโฆษณา (advertising)
    คือ สื่อที่ผู้โฆษณาเลือกใช้ในการเผยแพร่งานโฆษณาไปยังกลุ่มบริโภคเป้าหมาย เช่น โทรทัศน์ วิทยุ  หนังสือพิมพ์  เป็นต้น สื่อโฆษณาเป็นเครื่องมือสำคัญที่นำโฆษณาไปยังกลุ่มผู้บริโภค  สื่อโฆษณาแบ่ง เป็นประเภทต่าง ๆ  ตามความเหมาะสมของสินค้าที่ต้องการนำเสนอ  นักโฆษณาแบ่งสื่อโฆษณาเป็น  3  ประเภท  คือ
3.1 สื่อโฆษณาประเภทสิ่งพิมพ์ (print Media) 
      เป็นการโฆษณาโดยใช้ตัวหนังสือเป็นตัวกลางถ่ายทอดความคิดไปสู่ประชาชน  ได้แก่  หนังสือพิมพ์รายวัน  หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์  นิตยสาร  ใบปลิว  แผ่นพับ  โปสเตอร์  คู่มือการใช้สินค้า  แบบตัวอย่างสินค้า (catalogs)  เป็นต้น



3.2 สื่อโฆษณาประเภทกระจายเสียงและแพร่ภาพ ( broadcasting media)
      เป็นการโฆษณาโดยใช้เสียง  ภาพ หรือตัวอักษร  ได้แก่  เสียงตามสาย วิทยุ  และโทรทัศน์ เป็นต้น
  
3.3 สื่อโฆษณาประเภทอื่น ๆ
      หมายถึง  สื่อโฆษณาอื่น ๆ นอกเหนือจากสื่อที่กล่าวแล้วข้างต้น  เช่น  ภาพยนตร์   อินเทอร์เนต   สื่อที่ใช้โฆษณาที่จุดขาย  รวมถึงสื่อโฆษณา นอกสถานที่   เช่น  ป้ายโฆษณา  ที่ติดรถโดยสาร ประจำทางหรือรถแท็กซี่  ป้ายราคาสินค้า  ธงราว  แผ่นป้ายต่าง ๆ ที่ติดตั้งไว้ตามอาคารสูง ๆ หรือตามสี่แยก  ป้ายโฆษณาที่ป้ายรถประจำทาง  หรือติดไว้ ณ ที่พักผู้โดยสาร  ป้ายโฆษณารอบ ๆ สนามกีฬาเมื่อมีการแข่งขันกีฬานัดสำคัญ ๆ เป็นต้น 



4. กลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย (consumer)
    บุคคลทั่วไปที่รับสารเกี่ยวกับงานโฆษณา  ซึ่งหากเกิดความรู้สึกถูกใจ  ชื่นชมหรือชอบสินค้าหรือบริการ  จะนำไปสู่การตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าหรือบริการได้  ในทางโฆษณากลุ่มผู้บริโภค เป้าหมายจะหมายรวมถึงผู้ใช้สินค้าหรือบริการ